ยุคเสรีนิยม (ค.ศ. 1870-1914) ของ ราชอาณาจักรอิตาลี

กัลเลเรียวิตตอริโอเอมานูเอเลดูเอ (Galleria Vittorio Emanuele II) ที่เมืองมิลาโน งานสถาปัตยกรรมซึ่งสร้างขึ้นในคริสต์ทศวรรษที่ 1880 และตั้งชื่อตามพระนามของพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2 ปฐมกษัตริย์แห่งอิตาลี

หลังจากการรวมชาติ ทิศทางการเมืองของประเทศอิตาลีเป็นไปในวิถีทางของลัทธิเสรีนิยม สิทธิในทางการเมืองถูกกระจายออกเป็นส่วนๆ และนายกรัฐมนตรีหัวอนุรักษนิยม มาร์โค มิเจตตี ก็ได้รักษาอำนาจในตำแหน่งของตนไว้ด้วยการออกนโยบายเชิงปฏิวัติและเอียงซ้าย เช่น การยึดเอากิจการรถไฟมาเป็นของรัฐ เพื่อเอาใจฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ในปี ค.ศ. 1876 มิเจตตีได้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและแทนที่ด้วยอากอสติโน เดเพรสติส ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสมัยแห่งเสรันิยมอันยาวนาน ยุคแห่งเสรีนิยมนี้เป็นที่จดจำจากการฉ้อราษฏร์บังหลวง รัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ ภาวะความยากจนที่ยังดำรงอยู่ในอิตาลีตอนใต้ และการใช้มาตรการแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยรัฐบาลอิตาลี

เดเพรสติสเริ่มวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลีโดยการริเริ่มทดลองแนวคิดทางการเมืองที่เรียกว่า ทรานสฟอร์มิสโม (อิตาลี: Transformismo; แนวคิดปฏิรูปนิยม) หลักของแนวคิดนี้ก็คือ คณะรัฐมนตรีควรเลือกนักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ โดยต้องมีความหลากหลาย และนักการเมืองที่เลือกมาต้องเป็นที่มีความสามารถและความเหมาะสมจากผู้ที่มีทัศนะไร้ความรุนแรง (Non-partisan perspective) แต่ในทางปฏิบัติ แนวคิดทรานสฟอร์มิสโมเป็นแนวคิดที่ผูกขาดแบบเบ็ดเสร็จและมีปัญหาการฉ้อราษฏร์บังหลวง เดเพรสติสได้กดดันให้บรรดาอำเภอต่างๆ ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งของเขา เพื่อแลกกับการได้รับการผ่อนปรนอันเป็นที่น่าพอใจจากเดเพรสติสในขณะที่เขาอยู่ในอำนาจ ผลของการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1876 ปรากฏว่ามีผู้สมัครเพียง 4 คนจากพรรคการเมืองฝ่ายขวาเท่านั้นที่ได้รับเลือกตั้ง อันเปิดการเปิดทางให้เดเพรสติสสามารถเข้าครอบงำรัฐบาลได้ เชื่อกันว่าการกดขี่และการฉ้อราษฏร์บังหลวงที่เกิดขึ้นในหลายคราวเป็นกุญแจสำคัญที่เดเพรสติสใช้จัดการเพื่อรักษาคะแนนเสียงสนับสนุนของเขาในอิตาลีตอนใต้ เดเพรสติสได้ใช้มาตรการเผด็จการเบ็ดเสร็จต่างๆ ในการบริหารบ้านเมือง เช่น ห้ามการชุมนุมในที่สาธารณะ การส่งตัวบุคคลที่เป็น "อันตราย" ไปเนรเทศในเกาะที่ห่างไกลของอิตาลี และการออกนโยบายแบบทหารนิยม (Militarist policies) เขายังได้ผ่านกฎหมายซึ่งนำมาาสู่ความขัดแย้งในหลายคราว เช่น การยกเลิกการจำคุกเพื่อใช้หนี้ การให้การศึกษาขั้นประถมศึกษาแบบให้เปล่า และการบังคับให้เลิกการสอนวิชาศาสนาในโรงเรียนประถมศึกษา[6]

กลุ่มไตรพันธมิตรในปี ค.ศ. 1913 แสดงด้วยพื้นที่สีแดง

ในปี ค.ศ. 1887 ฟรันเซสโก คริสปิ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาได้เริ่มให้ความสำคัญกับนโยบายต่างประเทศ เขาได้พยายามที่จะทำให้อิตาลีได้เป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลกด้วยการเพิ่มงบประมาณทางการทหาร สนับสนุนให้อิตาลีมีการขยายอาณาเขต[7] และพยายามเอาใจจักรวรรดิเยอรมัน อิตาลีได้เข้าร่วมกับกลุ่มไตรพันธมิตรที่มีทั้งจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการีเป็นสมาชิกอยู่ด้วยในปี ค.ศ. 1882 และยังคงมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการจนถึงปี ค.ศ. 1915 ในขณะที่คริสปีได้ช่วยพัฒนาอิตาลีในเชิงยุทธศาสตร์ เขาก็ยังคงบริหารบ้านเมืองตามแนวทางทรานสฟอร์มิสโมต่อไปด้วยความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังปรากฏว่าครั้งหนึ่งเขาคิดจะใช้กฎอัยการศึกในปิดกั้นพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม[8] แต่ถึงแม้เขาจะเป็นเผด็จการโดยการใช้อำนาจรัฐก็ตาม คริสปีก็ยังได้ออกนโยบายในเชิงเสรีนิยมออกมาบ้างเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการตราพระราชบัญญัติการสาธารณสุขในปี ค.ศ. 1888 หรือการก่อตั้งองค์คณะศาลเพื่อพิจารณาชดเชยสำหรับการใช้อำนาจโดยมิชอบจากรัฐบาล เป็นต้น[9]

วัฒนธรรมและสังคม

สังคมของชาวอิตาลีหลังจากการรวมชาติและตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของยุคเสรีนิยม เป็นไปในลักษณะของสังคมที่แบ่งแยกอย่างเด่นชัดทั้งในเรื่องของชนชั้น ภาษา ภูมิภาค และระดับทางสังคม[10]

โดยทั่วไปลักษณะทางวัฒนธรรมของอิตาลีในเวลานั้นเป็นสังคมแบบอนุรักษนิยมโดยธรรมชาติ เช่น การเชื่อมั่นในคุณค่าของครอบครัวอย่างแรงกล้าหรือและค่านิยมของการนับถือบิดาเป็นใหญ่ในครอบครัว[11] เมื่อมองในด้านอื่นๆ ก็พบว่ามีการแบ่งแยกในวัฒนธรรมอิตาลีอย่างชัดเจน ครอบครัวของชนชั้นอภิชน, เหล่าผู้ดี และชนชั้นกลางระดับบนยึดถือธรรมเนียมอย่างสูงยิ่ง ชนชั้นกลางระดับบนในยุคนั้นยังเป็นที่รู้จักกันดีจากตัดสินความขัดแย้งของพวกตนด้วยการท้าดวล[12] หลังยุคการรวมชาติ ผู้สืบเชื้อสายของเชื้อพระวงศ์และผู้ดีจำนวนมากได้เข้ามาเป็นประชากรของอิตาลี ดังปรากฏตัวเลขว่ามีครอบครัวผู้ดีถึง 7,837 ครอบครัวหลังการรวมชาติ[12] ผู้ที่อยู่ในระดับบนของสังคมจำนวนมากเป็นเจ้าของที่ดินที่ร่ำรวยมั่งคั่ง ซึ่งยังคงรักษาสังคมศักดินาไว้เพราะการบำรุงรักษาระบบเกษตรกรรมของพวกเขาไว้นั้นจำเป็นต้องอาศัยแรงงานกสิกรจำนวนมาก[12] สังคมอิตาลีในยุคนั้นยังคงมีการแบ่งแยกย่อยในระดับแคว้นและระดับท้องถิ่นซึ่งมักจะมีประวัติศาสตร์ของความเป็นคู่แข่งซึ่งกันและกันอยู่ด้วย[13]

หลังการรวมชาติ อิตาลียังไม่ประสบความสำเร็จในการกำหนดภาษาประจำชาติเพียงภาษาเดียว ภาษาตอสกานา (ซึ่งในภายหลังจะรู้จักกันในชื่อภาษาอิตาลี) ถูกใช้อยู่เพียงในเขตเมืองฟิเรนเซ ในขณะที่เมื่ออยู่ภายนอกเขตฟิเรนเซจะมีการใช้ภาษาประจำถิ่นของแต่ละท้องถิ่น[14] แม้กระทั่งพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2 ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร ก็ทรงใช้ภาษาปิเอมอนเตและภาษาฝรั่งเศสเกือบตลอดพระชนม์ชีพ และทรงใช้แม้กระทั่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีของพระองค์เองก็ตาม[15] อีกประการหนึ่ง อัตราการรู้หนังสือของอิตาลีในยุคนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ปรากฏจากการทำสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 1871 ว่า มีประชากรที่เป็นชายไม่รู้หนังสือร้อยละ 61.9 ส่วนผู้หญิงมีอัตราสูงถึงร้อยละ 75.7[16] อัตราการไม่รู้หนังสือดังกล่าวนี้สูงยิ่งกว่าประเทศยุโรปใดๆ ในยุคเดียวกัน[15] นักประวัติศาสตร์บางส่วนได้อ้างว่าการทำสำมะโนประชากรเกี่ยวกับผู้ไม่รู้หนังสือในขณะนั้นยังหละหลวม เพราะวัดเพียงจากการที่บุคคลสามารถเขียนชื่อตัวเองและสามารถอ่านข้อความสั้นๆ ได้เท่านั้น ซึ่งอาจตีความได้ว่าอัตราการไม่รู้หนังสือที่แท้จริงของอิตาลีในเวลานั้นอาจจะเลวร้ายกว่าผลการสำรวจที่ได้จัดทำไว้[16] ระดับของการไม่รู้หนังสือของอิตาลีถูกรวมเข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่า ในเวลานั้นอิตาลียังมีโรงเรียนของรัฐอยู่น้อยหลังจากการรวมชาติ และยังไม่มีสื่อสารมวลชนที่สามารถส่งข่าวได้ทั่วประเทศ เนื่องจากในเวลานั้นยังมีความแตกต่างทางภาษาในเรื่องของภาษาถิ่นอยู่มาก[17] รัฐบาลอิตาลีในยุคเสรีนิยมได้พยายามลดอัตราการไม่รู้หนังสือโดยการตั้งโรงเรียนซึ่งรัฐเป็นผู้ออกค่าใช่จ่ายเพื่อสอนภาษาอิตาลีแบบทางการ[18] ภาวะการรู้หนังสือและภาวะการไม่รู้หนังสือในระดับท้องถิ่นจะมีระดับแปรผันไปในแต่ละแคว้น เพราะแต่ละแคว้นมีระดับของคุณภาพการศึกษาที่ไม่เท่ากัน โดยแคว้นในอิตาลีตอนใต้อยู่ในภาวะที่แย่ที่สุดเนื่องจากได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนน้อย[16]

มาตรฐานของคุณภาพชีวิตของยุคเสรีนิยมอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิตาลีตอนใต้ซึ่งเกิดปัญหาจากโรคภัยหลายชนิดเช่นมาเลเรียและโรคอื่นๆ ที่มีการระบาดในยุคนั้น[19] โดยรวมแล้ว ปรากฏตัวเลขเบื้องต้นของอัตราการเสียชีวิตของประชากรในปี ค.ศ. 1871 อยู่ที่ 30 คนต่อทุก 1,000 คน และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 24.2 คนต่อทุก 1,000 คน ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1890[20] อนึ่ง อัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดถึงอายุ 1 ปีในปี ค.ศ. 1871 อยู่ที่ร้อยละ 22.7 ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตของเด็กวัย 1-5 ปี อยู่ในระดับที่สูงมากถึงร้อยละ 50[20] อัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดถึงอายุ 1 ปีได้ลดลงมาอยู่มี่ร้อยละ 17.6 ในช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 1891 - ค.ศ. 1900[20]

เศรษฐกิจ

ในการรวมชาติอิตาลีขึ้นมานั้น ราชอาณาจักรแห่งใหม่นี้ก็พบเจอกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรงและแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ตลอดจนไปถึงปัญหาทางการเมือง สังคม และการแบ่งแยกชนชาติและชนชั้น ในช่วงยุคสมัยใหม่ของอิตาลีนี้สภาพทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศขึ้นอยู่กับการค้าขายจากต่างประเทศและการส่งออกถ่านหินกับข้าว

และจากการรวมชาตินี้เอง ทำให้อิตาลีกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการทำงานของประชาชนในภาคเกษตรกรรมมากที่สุดในแถบยุโรปถึง 60% ของประชากร และกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศ ส่วนศาสนจักรเองก็มีทรัพย์สินจำนวนมากมายจากการบริจาคในประเทศ และยังมีการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศที่รุนแรงอีกด้วย ทำให้ช่องทางและโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศในภาคเกษตรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วหลังจากการรวมชาติขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศทั้งหมดในช่วงระยะเวลานี้ ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมทางใต้ของอิตาลีต้องเผชิญกับอากาศที่ร้อนในช่วงฤดูร้อน, ความแห้งแล้ง, และไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรได้ ซ้ำยังต้องเผชิญกับการระบาดของไข้มาลาเรียในพื้นที่เสื่อมโทรมตลอดทั้งชายฝั่งทะเลเอเดรียติก

ความสนใจของประชาชนหันไปที่นโยบายการต่างประเทศที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมเกษตรกรรมของอิตาลี ซึ่งเสื่อถอยลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 1873 ทั้งฝ่ายหัวรุนแรงและฝ่ายอนุรักษนิยมต่างกดดันรัฐสภาอิตาลีให้ออกคำสั่งไปยังรัฐบาลเริ่มการเสาะหาวิธีพัฒนาระบบการเกษตรของประเทศ การสืบสวนเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1877 และถูกเผยแพร่ในอีกแปดปีต่อมา แสดงให้เห็นว่าการเกษตรในประเทศไม่มีการพัฒนาและเจ้าของที่ดินต่างเก็บผลประโยชน์จากที่ดินเหล่านั้นโดยแทบจะไม่ได้พัฒนาที่ดินของพวกเขาเลย ชนชั้นล่างของอิตาลีได้รับผลกระทบตั้งแต่จากการสิ้นสุดลงของที่ดินชุมชนไปจนถึงผลประโยชน์ของเหล่าเจ้าของที่ดิน แรงงานในภาคเกษตรกรรมของอิตาลีส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวนาแต่เป็น บรักซิอันติ หรือแรงงานชั่วคราวซึ่งในกรณีนานที่สุดคือถูกว่าจ้างเป็นแรงงานหนึ่งปี ชาวนาผู้มีรายได้ไม่แน่นอนถูกบังคับให้ชีวิตอย่างอย่างลำบาก, ขาดแคลนอาหาร, โรคระบาดที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมไปถึงการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรคครั้งใหญ่ คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 55,000 คน[21]

งานนิทรรศการจัดแสดงเครื่องจักรอุตสาหกรรมในเมืองตูริน ปี ค.ศ. 1898 ซึ่งเป็นช่วงต้นของการปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นอุตสาหกรรม

รัฐบาลอิตาลีไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้หลังจากเผชิญกับปัญหาหนี้อันหนักหน่วงซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายที่เกินตัว และยังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจหลังจากองุ่นล้นตลาด ในช่วงปี ค.ศ. 1870 และ 1880 อุตสาหกรรมไวน์ฝรั่งเศสได้รับผลกระทบจากโรคระบาดในองุ่นโดยแมลง อิตาลีจึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกไวน์รายใหญ่ที่สุดของยุโรป แต่หลังจากที่อุตสาหกรรมไวน์ของฝรั่งเศสฟื้นตัวในปี ค.ศ. 1888 ก็ทำให้เกิดภาวะองุ่นล้นตลาดอีกครั้งในภาคใต้ของอิตาลี ส่งผลให้ต้องมีการลดการผลิตลงและทำให้เกิดการว่างงานและการล้มละลายทางการเงินครั้งใหญ่[22]

ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1870 รัฐบาลอิตาลีลงทุนอย่างมากกับระบบทางรถไฟ ส่งผลให้ระยะทางรถไฟในอิตาลีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี ค.ศ. 1890[23]

อิตาลีตอนใต้

ประชาชนของอิตาลียังคงมีความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างอภิสิทธิ์ชนผู้ร่ำรวยกับกรรมกรผู้ยากจนโดยเฉพาะในภาคใต้ของประเทศ สำมะโนประชากรของปี ค.ศ. 1881 ชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้แรงงานในภาคใต้มากกว่าหนึ่งล้านคนเป็นผู้ทำงานไม่เต็มเวลามาอย่างยาวนานและมีความเป็นไปได้สูงที่จะอพยพย้ายถิ่นไปที่ต่างๆ ตามฤดูกาลด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและการยังชีพตนเอง[24] บ่อยครั้งที่ชาวนาในภาคใต้, เจ้าของที่ดินและผู้เช่าที่ดินกลุ่มเล็กๆ มักจะมีปัญหาขัดแย้งและก่อจลาจลตลอดช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19[25] แต่อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าสภาพเศรษฐกิจของเกษตรกรในภาคใต้ทุกแห่งจะอยู่ในสภาพยากจน เศรษฐกิจในท้องถิ่นบางแห่งซึ่งใกล้กับเขตเมืองเช่น นาโปลี และ ปาแลร์โม หรือตามแนวชายฝั่งทะเลติร์เรเนียน ต่างก็มีสภาพความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดี[24]

ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1870 เรื่อยมา ปัญญาชน, นักวิชาการ และนักการเมือง ทำการตรวจสอบสภาพเศรษฐกิจและสังคมของอิตาลีตอนใต้ (อิลเมซโซโจร์โน) การเคลื่อนไหวที่ถูกเรียกว่า เมริเดียนาลิสโม เช่น คณะกรรมธิการสอบสวนภาคใต้ ค.ศ. 1910 บ่งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลอิตาลีล้มเหลวมาอย่างยาวนานในการเยียวยาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่รุนแรงและการจำกัดสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ซึ่งจำกัดไว้ให้สำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินไว้ครอบครองมากเพียงพอ ก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบคนยากจนจากเหล่าเจ้าของที่ดิน[26]

ฟรันเซสโก คริสปี และกำเนิดลัทธิล่าอาณานิคมของอิตาลี

ฟรันเซสโก คริสปีได้ส่งเสริมลัทธิล่าอาณานิคมของอิตาลีในทวีปแอฟริกาในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ความพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายของอิตาลีในยุทธการอัดวา ซึ่งเป็นจุดชี้ขาดสงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่หนึ่ง ได้นำไปสู่การลาออกของคริสปี

โครงการสร้างอาณานิคมจำนวนมากได้ผ่านการรับรองจากรัฐบาลอิตาลี เพื่อแสวงหาการสนับสนุนจากกลุ่มชาตินิยมและจักรวรรดินิยมชาวอิตาลี ซึ่งต่อการจะสร้างจักรวรรดิโรมันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นอิตาลีได้มีเขตที่ชาวอิตาลีได้ตั้งถิ่นฐานขนาดใหญ่อยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ไคโร และตูนิสอยู่แล้ว ประเทศอิตาลีได้พยายามแสวงหาอาณานิคมครั้งแรกผ่านการเจรจากับชาติมหาอำนาจอื่นๆ เพื่อขอสัมปทานดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นอาณานิคมของอิตาลี ซึ่งการเจรจาดังกล่าวปรากฏว่าล้มเหลว นอกจากนั้น อิตาลียังได้ส่งมิชชันนารีไปยังดินแดนที่ยังไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมเพื่อสืบหาช่องทางที่จะยึดครองเป็นอาณานิคมของอิตาลี พื้นที่ที่อิตาลีมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างอาณานิคมของตนขึ้นได้จริงมากที่สุดก็คือในทวีปแอฟริกา มิชชันนารีของอิตาลีได้เริ่มบุกเบิกการเผยแผ่ศาสนาที่เมืองมาสซาวา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเอริเทรีย) และเริ่มเดินทางลึกเข้าไปในจักรวรรดิเอธิโอเปียในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1830[27]

ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1885 ก่อนหน้าการสิ้นอำนาจการปกครองของอียิปต์ในเมืองคาร์ทูมไม่นาน อิตาลีก็ได้ส่งทหารเข้ายึดเมืองมาสซาวา และต่อมาก็ได้ผนวกเมืองมาสซาวาโดยการบังคับในปี ค.ศ. 1888 นับเป็นจุดกำเนิดของอาณานิคมเอริเทรียของอิตาลี

ในปี ค.ศ. 1895 เอธิโอเปียภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 ได้ล้มเลิกข้อตกลงในการดำเนินตามนโยบายการต่างประเทศของอิตาลี ซึ่งได้ลงนามไว้เมื่อปี ค.ศ. 1889 อิตาลีจึงได้อาศัยเหตุการณ์ดังกล่าวยกเป็นเหตุในการยกทัพเข้าสู่เอธิโอเปีย[28] เอธิโอเปียได้รับความช่วยเหลือจากจักรวรรดิรัสเซียซึ่งมีผลประโยชน์อยู่ในทวีปแอฟริกา โดยรัฐบาลของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ส่งอาวุธสมัยใหม่จำนวนมากเข้าช่วยเหลือชาวเอธิโอเปียในสงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่หนึ่ง ผลสะท้อนที่กลับมาคือสหราชอาณาจักรได้ตัดสินใจเข้าหนุนหลังฝ่ายอิตาลีเพื่อท้าทายอิทธิพลของรัสเซียในทวีปแอฟริกา ทั้งยังได้ประกาศว่าเอธิโอเปียทั้งหมดอยู่ในขอบเขตที่อิตาลีจะสามารถแสวงหาผลประโยชน์ได้ ในช่วงที่ใกล้จะเกิดสงครามนั้น ลัทธิชาตินิยมและทหารนิยมได้ทะยานสู่จุดสูงสุด ประชาชนชาวอิตาลีได้รวมตัวกันเข้าสมัครเป็นทหารในกองทัพบกอิตาลีด้วยความหวังว่าจะได้มีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้[29]

กองทัพอิตาลีประสบกับความล้มเหลวในสมรภูมิ และพ่ายแพ้อย่างยับเยินให้แก่กองทัพจำนวนมหาศาลของเอธิโอเปียในยุทธการอัดวา อิตาลีจึงจำต้องถอนทัพกลับไปยังเอริเทรีย[30] ความล้มเหลวในสงครามที่เอธิโอเปียทำให้อิตาลีต้องอับอายขายหน้าในระดับนานาประเทศ

ทหารราบขี่ม้าของอิตาลีระหว่างเกิดกบฏนักมวยในประเทศจีนเมื่อปี ค.ศ. 1900

นับจากวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1899 ถึงวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1901 อิตาลีได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังพันธมิตรแปดชาติระหว่างที่เหตุการณ์กบฏนักมวยในประเทศจีน ในวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1901 รัฐบาลของราชวงศ์ชิงได้ส่งมอบสัมปทานเขตเช่าที่เมืองเทียนสินให้แก่อิตาลี ต่อมาในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1902 สัมปทานดังกล่าวได้มีบังคับใช้ นำไปสู่การตั้งกงสุลอิตาลีเพื่อเข้าครอบครองและทำการบริหารจัดการ

ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมันและเข้ารุกรานดินแดนตริโปลิเตเนีย เฟซซัน และไซเรไนกา ดินแดนทั้งสามจังหวัดนี้ได้รวมกันเป็นประเทศลิเบียในภายหลัง สงครามได้จบลงในอีกหนึ่งปีถัดมา แต่การเข้ายึดครองของอิตาลีได้ส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อชาวลิเบีย เช่น การบังคับขับไล่ชาวลิเบียให้ออกจากหมู่เกาะทรีมิติ (Tremiti Islands) ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1911 เป็นต้น ถึงปี ค.ศ. 1912 ปรากฏว่า 1 ใน 3 ของผู้ลี้ภัยชาวลิเบียได้เสียชีวิตจากการขาดอาหารและที่อยู่ อาศัย[31] การผนวกดินแดนลิเบียได้ทำให้ฝ่ายชาตินิยมอิตาลีเรียกร้องให้อิตาลีครอบ ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยการเข้ายึดครองราชอาณาจักรกรีซและภูมิ ภาคดัลเมเชียในชายฝั่งทะเลเอเดรียติก[32]

โจวันนี โจลิตตี

โจวันนี โจลิตตี นายกรัฐมนตรี 5 สมัยของอิตาลี ระหว่าง ค.ศ. 1892 - 1921

ในปี ค.ศ. 1892 โจวันนี โจลิตตี ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลีเป็นสมัยแรก แม้ว่าคณะรัฐบาลชุดแรกของเขาจะพังลงอย่างรวดเร็วในปีต่อมา แต่ในปี ค.ศ. 1903 โจลิตตีก็กลับขึ้นมาเป็นผู้นำของรัฐบาลอิตาลีอีกครั้งในยุคแห่งความยุ่งเหยิงซึ่งจะดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 1914 ชีวิตของโจลิตตีในช่วงแรกได้ทำงานเป็นข้าราชการพลเรือน ต่อมาเขาได้เข้าไปมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของอดีตนายกรัฐมนตรีคริสปี เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของอิตาลีคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งอย่างต่อเนื่องและยาวนานหลายปีเพราะเขาควบคุมแนวคิด "ทรานสฟอร์มิสโม" ด้วยการชักใยอยู่เบื้องหลัง บีบบังคับขู่เข็ญ และติดสินบนบรรดาข้าราชการให้อยู่ฝ่ายเขา การโกงการเลือกตั้งในสมัยรัฐบาลของโจลิตตีเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป ตัวโจลิตตีเองก็ช่วยเรียกคะแนนเสียงในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่มั่งคั่งและสนับสนุนฝ่ายตนเองเท่านั้น ส่วนเขตเลือกตั้งที่ยากจนและมีฝ่ายค้านเข้มแข็งจะถูกเขาข่มขู่และทำการโดดเดี่ยวเสีย[33] ภาคใต้ของอิตาลีอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ทั้งก่อนหน้าและระหว่างช่วงที่โจลิตตีอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ชาวอิตาลีที่อาศัยในภาคใต้ถึงสี่ในห้าเป็นผู้ไม่รู้หนังสีอ สถานการณ์เลวร้ายดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้แปรผันมาจากปัญหาของผู้ไร้ที่ทำกินจำนวนมากก่อการกบฏและปัญหาความอดอยาก[34] การฉ้อราษฎร์บังหลวงยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งโจลิตตีเองได้ยอมรับว่า ยังมีที่ที่ "กฎหมายไม่สามารถยื่นมือเข้าไปจัดการได้ทุกอย่าง"[35]

ในปี ค.ศ. 1911 รัฐบาลของโจลิตตีได้ส่งกำลังทหารเข้าไปยึดครองลิเบีย ในขณะที่ความสำเร็จในสงครามลิเบียได้ยกสถานะของลัทธิชาตินิยมให้สูงขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยเกิดความสำเร็จในการบริหารงานของรัฐบาลโจลิตตีแต่อย่างใด รัฐบาลได้พยายามขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการพูดถึงความสำเร็จและความสร้างสรรค์ของกองทัพอิตาลีในการสงครามว่า อิตาลีเป็นชาติแรกที่ได้มีการใช้พโยมยาน (เรือเหาะ) ในวัตถุประสงค์ทางการทหาร และได้ลงมือทำการทิ้งระเบิดทางอากาศใส่กองกำลังของจักรวรรดิออตโตมัน[36] สงครามได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานของพรรคสังคมนิยมอิตาลี กล่าวคือ กลุ่มนักปฏิวัติต่อต้านสงครามในพรรค ซึ่งนำโดยเบนิโต มุสโสลีนี ผู้ซึ่งจะกลายเป็นเผด็จการฟาสซิสต์ในอนาคต ได้เรียกร้องให้มีการใช้กำลังในการโค่นล้มรัฐบาล หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ โจลิตตีได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในเวลาอันสั้น แต่เมื่อถึงตอนนั้น ยุคเสรีนิยมก็ได้จบลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

การเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1913 และปี ค.ศ. 1919 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเสียงการเลือกตั้งได้หันเหไปทางพรรคการเมืองกลุ่มสังคมนิยม กลุ่มคาธอลิก และกลุ่มชาตินิยม เนื่องจากพรรคการเมืองสายเสรีนิยมและราดิคัล (radical) ได้อ่อนแลลงเพราะปัญหาความแตกร้าวภายในและต้องพบกับความพ่ายแพ้ในที่สุด

ใกล้เคียง

ราชอาณาจักรอิตาลี ราชอาณาจักรกัมพูชา (พ.ศ. 2496–2513) ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ราชอาณาจักรฮังการี (ค.ศ. 1920–1946) ราชอาณาจักรลิเบีย ราชอาณาจักรปรัสเซีย ราชอาณาจักรนาวาร์ ราชอาณาจักรโรมาเนีย ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ราชอาณาจักรมาเกโดนีอา

แหล่งที่มา

WikiPedia: ราชอาณาจักรอิตาลี http://www.axishistory.com/index.php?id=37 http://www.germaniainternational.com/images/bookgi... http://www.germaniainternational.com/images/bookgi... http://books.google.com/books?id=MTWM6PjNvBMC&pg=P... http://www.spiritus-temporis.com/june-1934/ http://www.law.fsu.edu/library/collection/Limitsin... http://greatoceanliners.net/rex.html http://historicalresources.org/2008/09/17/mussolin... http://historicalresources.org/2008/09/19/mussolin... http://www.royin.go.th/th/webboardnew/answer.php?G...